เรซูเม่ (resume) คืออะไร

เรซูเม่ (resume) คืออะไร

Comments Off on เรซูเม่ (resume) คืออะไร

เรซูเม่ (resume) คืออะไร

 

 

รับทำเรซูเม่สมัครเรียน  เรซูเม่ หรือเรียกอีกอย่างว่า CV และ ไบโอดาต้า (bio-data) คือเอกสารที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับระดับการศึกษา ประสบการณ์การทำงาน และความสามารถ เอกสารนี้มักใช้สำหรับยื่นประกอบการสมัครงาน, การขอฝึกงาน หรือการสมัครเรียนระดับอุดมศึกษา

หลักฐานทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเรซูที่เก่าแก่ที่สุด พบที่ประเทษอิตาลี ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าถูกเขียนเมื่อศตวรรษที่ 15 โดยลีโอนาร์โด ดาวินชี เขียนเอกสารที่ระบุความสามารถ และผลงานต่างๆของตนเองเพื่อประกอบการสมัครงาน อย่างไรก็ตาม รูปแบบของเรซูเม่ที่คนใช้กัน ณ ปัจจุบันนั้นเริ่มมีการนำมาใช้อย่างแพร่หลายใน ศตวรรษที่ 20

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาลของประเทศสหรัฐอเมริกาได้ผลิตเอกสารทางการ เรียกว่า Civil Service Application เพื่อให้การคัดเลือกพนักงานรัฐได้อย่างมีมาตรฐานยิ่งขึ้น ซึ่งผู้สมัครงานราชการจะต้องระบุระดับการศึกษา และประสบการณ์การทำงาน ในรูปแบบที่มีมาตรฐาน ต่อจากนั้น บริษัทและองกรณ์ต่างๆก็เริ่มนำเอกสารดังกล่าวมาดัดแปลงเพื่อใช้เพื่อประกอบการรับสมัครพนักงานแล้วเอกสารนั้นจึงวิวัฒนาการมาเป็นเรซูเม่ที่เราเห็นได้ในยุคปัจจุบัน

ตอนนี้ เรซูเม่มีหลากหลายรูปแบบ เรซูเม่แต่ละประเภทอาจมีเนื้อหาและรูปแบบที่ต่างกันได้ รับทำเรซูเม่สมัครเรียน ยกตัวอย่างเช่น อาจเน้นความสามารถของผู้สมัครงานเป็นหลัก, เน้นการศึกษาของผู้สมัครงาน หรือเน้นประวัติการทำงาน และช่วงเวลาที่ทำงานในแต่ละตำแหน่ง หรืออาจรวมข้อมูลหลายประเภทมารวมกันเป็นรูปแบบที่เหมาะสมกับตำแหน่งงานนั้นๆ ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี เรซูเม่และพอร์ทโฟลิโอสามารถทำผ่านระบบดิจิตอล ทำให้ผู้สมัครงานสามารถแสดงคุณสมบัติของตนเองได้อย่างน่าสนใจยิ่งขึ้น

 

 

ความแตกต่างระหว่าง เรซูเม่ CV และ bio-data

คำว่า “รซูเม่, CV และ bio-data มักถูกใช้แทนกัน แต่หารู้ไม่ เอกสาร 3 ประเภทที่ดล่าวมานั้นมีรูปแบบและการใช้งานที่แตกต่างกันเล็กน้อย

  • เรซูเม่: มักมีเนื้อหาประกอบด้วยประวัติการศึกษาแบบย่อ ประสบการณ์การทำงาน และผลงานที่โดดเด่น เรซูเม่มักมีเนื้อหาไม่เกิน 2 หน้ากระดาษ โดยจะมุ่งเน้นข้อมูลเกี่ยวกับคุณสมบัติและประสบการณ์ที่เกียวข้องกับตำแหน่งงานที่สมัคร เรซูเม่ นั้นนิยมใช้ในประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศแคนาดา
  • Cีrriculum vitae หรือ CV: คล้ายกับเรซูเม่ แต่จะมีข้อมูลที่ละเอียดมากกว่าเรซูเม่ เนื้อหาของ CV มักจะมี 2-4 หน้ากระดาษ ประกอบด้วยประวัติการศึกษา, ประสบการณ์การทำงาน, งานวิจัย, งานวิจัยหรือบทความที่ได้รับการตีพิมพ์, รางวัลต่างๆ และผลงานอื่นๆ CV นั้นมักใช้สำหรับการสมัครปริญญาโท ปริญญาเอก สายงานที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และการทำงานวิจัย และนิยมใช้ในประเทศแถบยูโรปและเอเชีย
  • ไบโอดาต้า (bio-data): เป็นเอกสารที่มีข้อมูลส่วนตัวที่ละเอียดกว่า เรซูเม่ และ CV เช่น ชื่อ/สกุล, อายุ, ที่อยู่, การศึกษา, ข้อมูลเกี่ยวกับครอบครัว ข้อมูลเกี่ยวกับสมาชิกในครอบครัว และข้อมูลอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับวัตถุประสงค์ของไบโอดาต้า เอกสารประเภทนี้นิยมใช้ในประเทศอินเดีย และประเทศเขตเอเชียใต้ และมักใช้สำหรับการสมัครงาน รวมถึงการแนะนำตัวเองผ่านเอกสารเพื่อหาคู่รัก

โดยรวมแล้ว เอกสาร 3 ประเภทนี้แตกต่างกันเพียงแค่ วัตถุประสงค์การใช้งาน, รูปแบบ และเนื้อหา โดยที่ CV จะมีข้อมูลมากที่สุด และเน้นไปทางความสำเร็จทางการศึกษาและการทำงาน ส่วน เรซูเม่จะคล้ายกับ CV ฉบับย่อ และเนื้อหาจะไม่เฉพาะเจาะจงเท่า CV สุดท้ายคือ bio-data ซึ่งจะนำเสนอข้อมูลส่วนตัว และภูมิหลังของผู้เขียนเป็นหลัก

 

 

ข้อมูลที่ควรมีในเรซูเม่

  • ข้อมูลส่วนตัว – เริ่มต้นการแนะนำตัวด้วย ชื่อและนามสกุล, ข้อมูลติดด่อ, สัญชาติ (เผื่อสมัครงานต่างประเทศหรืองานนานาชาติ), ข้อมูลติดต่อ, วัน/เดือน/ปี เกิด เรซูเม่ควรจะมีรูปถ่ายของเจ้าตัวด้วย
  • ข้อมูลการทำงาน – ถัดมาจากข้อมูลส่วนตัว เรซูเม่จะต้องมี ข้อมูลประวัติการทำงาน, ประสบการณ์การทำงาน, ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน, ความสามารถพิเศษ แต่ควรจัดข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบของ bullet point เป็นข้อๆ เพื่อให้อ่านง่าย
  • การศึกษา – ประเทศไทยให้ความสำคัญกับระดับการศึกษามาก ดังนั้นในเรซูเม่ควรจะมีประวัติการศึกษาที่เกี่ยวกับจุดประสงค์การใช้เรซูเม่นั้นให้มากที่สุด คือชื่อสถาบันศึกษา, ระดับการศึกษา, สาชาวิชาที่เรียน, เกียรติบัติ, ประวัติการฝึกงาน, ระดับเกียรตินิยม, รางวัลที่เคยรับ และวันที่สำเร็จการศึกษา
  • ประวัติการทำงาน – ไล่เรียงประวัติและประสบการณ์การทำงานโดยเรียงจากงานล่าสุดย้อนไปในอดีต ควรใส่เฉพาะประสบการณ์งานที่แสดงความสามารถและศักยภาพการทำงานของเจ้าของเรซูเม่
  • ทักษะและความสามารถ – เรซูเม่จะต้องพูดถึงความสามารถทั้ง Hard skills ก็คือความสามมารถที่สามารถฝึกฝนได้ และสามารถวัดความสามารถได้อย่างเป็นรูปธรรม เช่นความสามารถในการออกแบบซอฟแวร์ และ Soft skills ก็คือความสามารถที่มาคู่กับลักษณะส่วนตัว เช่น เป็นคนที่สื่อสารได้เก่ง สุภาพ ใจเย็น เป็นผู้นำที่ดี เป็นต้น ทั้ง Hard skills และ Soft skills สำคัญต่อการสมัครงานมาก
  • ความสามารถทางด้านภาษา – ประเทศไทยให้ความสำคัญกับความสามารถทางด้านภาษามาก ดังนั้นควรระบุระดับการสื่อสารในภาษาต่างๆที่จะเป็นประโยชน์ต่อตำแหน่งที่จะสมัคร หากมีประสบการณ์การใช้ชีวิตที่ต่างประเทศก็ควรจะพูดถึงในเรซูเม่ด้วย
  • ความสำเร็จ – ควรมีข้อมูลผลงานที่ทำสำเร็จแบบสามารถวัดค่าได้ และอ่านแล้วเห็นภาพได้ง่าย โดยเฉพาะผลงานที่เกี่ยวข้องกับความสามารถในการทำงานเป็นทีม ความสามารถในการเป็นผู้นำ และความทุ่มเทต่องาน
  • ใบประกอบวิชาชีพและประกาศนียบัตร : เอกสารสำคัญที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งที่สมัคร เช่น ประกาศนียบัตรรับรองการอบรม, ใบประกอบวิชาชีพต่าง, ใบรับรองการเป็รผู้เชี่ยวชาญ
  • งานอดิเรก – ข้อมูลงานอดิเรกอาจช่วยส่งเสริมคุณลักษณะส่วนตัวได้มาก ควรเลือกงานอดิเรกที่แสดงความสามารถที่สามารถนำมาใช้ในงานที่สมัคร เช่น เป็นประธานชมรม และกัปตันทีมฟุตบอล อาจสื่อได้ว่าผู้นั้นสามารถทำงานเป็นทีม และมีความเป็นผู้นำสูง
  • บุคคลอ้างอิง – ข้อมูลบุคคลอ้างอิงนั้นมีเพื่อให้ผู้รับสมัครงานตรวจสอบข้อเท็จจริงกับคนที่เชื่อถือได้ เช่น เจ้านายคนเก่า, นายจ้างคนเก่า, อาจารย์ที่ปรึกษาตอนเรียน เป็นต้น

 

 

ควรนัดสัมภาษณ์งานเวลาไหน?

 

การระบุวันและเวลาสัมภาษณ์งานที่ดีนั้นยากมาก จะแปรผันขึ้นอยู่กับปริมาณงาน เวลาทำงานของผู้สัมภาษณ์ และลักษณะเฉพาะที่ต่างกัันของแต่ละองค์กรหรือบริษัท อย่างไรก็ตาม เรามีแนวทางคร่าวๆสำหรับการนัดวัน / เวลา สัมภาษณ์ที่ดีได้ดังนี้

 

หลีกเลี่ยงฤดูเทศกาล หรือช่วงที่ฝ่ายจัดหาบุคคลทำงานหนัก: หากเป็นไปได้ ควรหลีกเลี่ยงการนัดสัมภาษณ์งานในช่วงฤดูเทศกาล, ช่วงจบปีงบประมาณ, หรือช่วงที่บริษัทหรือองค์กรนั้นๆมีงานหนัก เพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้สัมภาษณ์โฟกัสกับการสัมภาษณ์ได้มากที่สุด

 

กลางสัปดาห์: นัดสัมภาษณ์งานวัน อังครา พุธ และพฤหัส เพราะวันจันทร์กับศุกร์มักจะเป็นวันที่งานหนักที่สุด เพราะฉะนั้นหากนัดวันสัมภาษณ์ได้ในช่วงที่ผู้สัมภาษณ์ว่าง และสะดวก ผู้สัมภาษณ์จะไม่รีบ ไม่เครียด และตั้งสมาธิกับการสัมภาษณ์ได้มากขึ้น

 

ควรนัดกี่โมง?: ไม่ควรนัดสัมภาษณ์ในเวลาที่ผู้สัมภาษณ์ยุ่ง เช่นตอนเช้าหลังเข้างานทันที หรือตอนหลักพักเที่ยงทันที ควรนัดสัมภาษณ์ในเวลาที่ผู้สัมภาษณ์สะดวกที่สุด เพื่อให้เขาสามารถจัดการงานอื่นๆให้เสร็จทำให้เขามีเวลาสัมภาษณ์เราได้แบบไม่เร่งรีบ

 

โดยรวมแล้ว การนัดสัมภาษณ์งานควรเลือกวันและเวลาที่ผู้สัมภาษณ์สะดวกที่สุด และมีเวลาให้เขาโฟกัสกับการสัมภาษณ์มากที่สุด แนวทางที่ง่ายที่สุดนั้นก็คือ นัดกับผู้สัมภาษณ์ว่าเราสะดวกเวลาไหนบ้าง เขาสะดวกเวลาไหนบ้าง แล้วนัดวันและเวลาที่สะดวกกันทั้งสองฝ่าย แต่ควรเอาเวลาของผู้สัมภาษณ์เป็นที่ตั้งก่อน

 

สั้งทำเรซูเม่หรือเขียนบทความภาษาอังกฤษแอดไลน์ @resume.studio

Facebook:รับทำเรซูเม่ รับเขียนบทความภาษาอังกฤษทุกหัวข้อ การันตีทีมแปลโทอิคคะแนน 990

 

 

how2.bet

thailer

Related Posts

gps ติดตามรถราคาเท่าไหร่  อัฟเดทใหม่ปี 2023

Comments Off on gps ติดตามรถราคาเท่าไหร่  อัฟเดทใหม่ปี 2023

คลินิกทันตกรรมสมายลี่พลัส SMILEY PLUS ฉะเชิงเทรา

Comments Off on คลินิกทันตกรรมสมายลี่พลัส SMILEY PLUS ฉะเชิงเทรา

PriceUsedCar รถมือสอง

Comments Off on PriceUsedCar รถมือสอง

การเลือกของขวัญให้คนพิเศษ

Comments Off on การเลือกของขวัญให้คนพิเศษ

ซ่อมมือถือ ใกล้ฉัน ทีทาม โมบาย ถนนสาย 1

Comments Off on ซ่อมมือถือ ใกล้ฉัน ทีทาม โมบาย ถนนสาย 1

ทำบุญออนไลน์ได้ง่ายๆกับ tamboononline

Comments Off on ทำบุญออนไลน์ได้ง่ายๆกับ tamboononline

โรงแรมแกรนด์บางเสร่ โรงแรมพัทยา

Comments Off on โรงแรมแกรนด์บางเสร่ โรงแรมพัทยา

การตรวจสอบหม้อไอน้ำ

Comments Off on การตรวจสอบหม้อไอน้ำ

ปูนปลาสเตอร์ใช้ทำอะไรได้บ้าง

Comments Off on ปูนปลาสเตอร์ใช้ทำอะไรได้บ้าง

ข้าวกล่องประชุม

Comments Off on ข้าวกล่องประชุม

Sawadee Sativa – cannabis stores

Comments Off on Sawadee Sativa – cannabis stores

การเอาตัวรอดจากการทำงานครั้งแรกของเด็กจบใหม่ :10 วิธีการรับมือรับมือสถานการณ์หายนะในที่ทำงาน

Comments Off on การเอาตัวรอดจากการทำงานครั้งแรกของเด็กจบใหม่ :10 วิธีการรับมือรับมือสถานการณ์หายนะในที่ทำงาน

Create Account



Log In Your Account



X